- มีพระพุทธเจ้าเป็น ศาสดา
-เป็นศาสนาประเภท อเทวนิยม
-หลักธรรมของศาสนา คือ อริยสัจ 4
-ถือกำเนิดในประเทศอินเดีย ก่อนพุทธศักราช 45 ปี
-ลักษณะเด่นของพระพุทธศาสนาคือเป็นศาสนาแห่งความรู้และความเป็นจริง
พุทธประวัติ
คือประวัติพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้ามีพระนามเดิมว่า"สิทธัตถะ"เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะกษัตริย์ผู้ครองกรุงกบิลพัสดุ์แคว้นสักกะ และพระราชมารดาคือพระนางสิริมหามายา (ซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่ทางภาคใต้ของประเทศเนปาล )
เจ้าชายสิทธัตถะประสูติเมื่อ 80 ปีก่อนพุทธศักราช ที่สวนลุมพินีวัน(ปัจจุบันคือ ต.รุมมินเด ประเทศเนปาล) ในวันเพ็ญ (ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6
ทันทีที่ประสูติ ทรงดำเนินด้วยพระบาทได้ 7 ก้าว มีดอกบัวผุดรองรับทรงเปล่งพระวาจาว่า "เราเป็นเลิศที่สุดในโลก ประเสริฐที่สุดในโลก
การเกิดครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายของเรา"
พระพุทธเจ้ามีพระนามเดิมว่า"สิทธัตถะ"เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะกษัตริย์ผู้ครองกรุงกบิลพัสดุ์แคว้นสักกะ และพระราชมารดาคือพระนางสิริมหามายา (ซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่ทางภาคใต้ของประเทศเนปาล )
เจ้าชายสิทธัตถะประสูติเมื่อ 80 ปีก่อนพุทธศักราช ที่สวนลุมพินีวัน(ปัจจุบันคือ ต.รุมมินเด ประเทศเนปาล) ในวันเพ็ญ (ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6
ทันทีที่ประสูติ ทรงดำเนินด้วยพระบาทได้ 7 ก้าว มีดอกบัวผุดรองรับทรงเปล่งพระวาจาว่า
- หลังประสูติได้ 7 วัน พระนางสิริมหามายาสิ้นพระชนม์
จึงทรงอยู่ในความดูแลของพระนางปชาบดีโคตมีซึ่งเป็นพระกนิษฐาของพระนางสิริมหามายา
|
|
- ศึกษาเล่าเรียนจนจบระดับสูงของการศึกษาทางโลกในสมัยนั้น
คือ ศิลปศาสตร์ถึง 18 ศาสตร์ ในสำนักครูวิศวามิตร
|
|
- พระบิดาไม่ประสงค์จะให้เจ้าชายสิทธัตถะเป็นศาสดาเอก
จึงพยายามให้สิทธัตถะพบแต่ความสุขทางโลกเช่น สร้างปราสาท 3 ฤดู และเมื่ออายุ 16 ปี
ได้ให้เจ้าชายสิทธัตถะอภิเษกกับนางพิมพาหรือยโสธราผู้เป็นพระธิดาของพระเจ้ากรุงเทวทหะซึ่งเป็นพระญาติฝ่ายพระมารดา
|
|
- เมื่อมีพระชนมายุ 29 ปี พระนางพิมพาก็ให้ประสูติ ราหุล (บ่วง)
- เมื่อทอดพระเนตรเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะตามลำดับ
จึงทรงคิดว่าชีวิตของทุกคนต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนั้นไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้
จึงเกิดแนวความคิดว่า
- ธรรมดาในโลกนี้มีของคู่กันอยู่ เช่น มีร้อนก็ต้องมีเย็น , มีทุกข์คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็ต้องมีที่สุดทุกข์ คือ ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย
- ทรงเห็นความสุขทางโลกเป็นเพียงมายา
ความสุขในกามคุณเป็นความสุขจอมปลอม เป็นเพียงภาพมายาที่ชวนให้หลงว่าเป็นความสุขเท่านั้น ในความจริงแล้วไม่มีความสุข
ไม่มีความเพลิดเพลินใดที่ไม่มีความทุกข์เจือปน
- วิถีทางที่จะพ้นจากความทุกข์ของชีวิตเช่นนี้ได้ หนทางหลุดพ้นจากวัฏสงสาร จะต้องสละเพศผู้ครองเรือนเป็นสมณะ
- สิ่งที่ทรงพบเห็นเรียกว่า "เทวทูต(ทูตสวรรค์)" จึงตัดสินพระทัยทรงออกผนวช
ในวันที่พระราหุลประสูติเล็กน้อย พระองค์ทรงม้ากัณฐกะออกผนวช มีนายฉันทะตามเสด็จโดยมุ่งตรงไปที่แม่น้ำอโนมานที ทรงตัดพระเกศา และเปลี่ยนเครื่องทรงเป็นผ้ากาสาวพักตร์ (ผ้าย้อมด้วยรสฝาดแห่งต้นไม้) ทรงเปลื้องเครื่องทรงมอบให้นายฉันนะนำกลับพระนคร การออกบวชครั้งนี้เรียกว่า การเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ (การเสด็จออกเพื่อคุณอันยิ่งใหญ่)
- หลังจากทรงผนวชแล้ว จึงทรงมุ่งไปที่แม่น้ำคยา แคว้นมคธ
เพื่อค้นคว้าทดลองในสำนักอาฬารดาบส กาลามโครตร และอุทกดาบส รามบุตร
เมื่อเรียนจบทั้งสองสำนัก(บรรลุฌาณชั้นที่แปด)
ก็ทรงเห็นว่าไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ตามที่มุ่งหวังไว้
"เหมือนสายพิณควรจะขึงพอดีจึงจะได้เสียงที่ไพเราะ"ซึ่งพระอินทร์ได้เสด็จลงมาดีดพิณถวาย พิณสายหนึ่งขึงไว้ตึงเกินไป พอถูกดีดก็ขาดผึงออกจากกัน จึงพิจารณาเห็นทางสายกลางว่าเป็นหนทางที่จะนำไปสู่พระโพธิญาณได้
- ระหว่างที่ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา ปัญจวัคคีย์ (โกญฑัญญะ วัปปะ ภัททิยา
มหานามะ อัสสชิ) มาคอยปรนนิบัติพระองค์โดยหวังว่าจะทรงบรรลุธรรมวิเศษ
เมื่อพระองค์เลิกบำเพ็ญทุกรกิริยา ปัญจวัคคีย์จึงหมดศรัทธา
พากันไปอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันเมืองพาราณสี (ต.สารนาถ)
( อ่านตอน ตรัสรู้ ได้ในโพตส์ต่อไป ) |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น